วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การทำความดีง่ายๆ : พงศ์ศิริ คำพา

การทำความดีง่ายๆ

9 วิธี ทําดี ทำง่ายๆ เริ่มจากตัวเรา 
วันนี้เราเจอบทความนึงที่อ่านแล้วรู้สึกว่าน่าจะดีกับทุกคนมาฝากกันค่ะ เกี่ยวกับวิธีการทำดี ได้บุญ และไม่ต้องใช้เงิน แต่สิ่งที่เรามองต่างออกมาคือ เราแค่อยากให้ทุกคนได้ทำความดีกัน ด้วยวิธีการอะไรก็ได้ที่ง่ายๆ และผู้รับก็สามารถรับได้เลยโดยไม่ต้องรอวันข้างหน้า ที่สำคัญให้คิดเรื่องของผลบุญเป็นเรื่องรองลงมา เพราะเราเชื่อว่าการที่ทุกคนได้ทำความดีให้กันแล้ว มันก็จะก่อให้เกิดความสุขจากการลงมือทำความด้วยตัวของตัวเองค่ะ

ทำดี

คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทําบุญสุนทานอยู่เสมอ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความ เชื่อที่ว่า ‘ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว’ ซึ่งแม้ปัจจุบัน
หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทําไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่ว ยังคงได้ดิบได้ดี
เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา
แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า
เขาทํากรรมเก่าดี หรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่า
เขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางที
เขาอาจกําลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวง ปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้
อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทําบุญ
เพราะเชื่อว่าเป็นการทําความดี
และเป็นการสะสมผลบุญ ที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคต หรือในชาติหน้า ซึ่งโดย
แท้จริงการทําบุญนั้น ทันทีที่ทําก็เป็นความสุขแล้ว
เพราะ บุญคือ
การทําความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทําให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ
โดยทั่วไป คนมักทําบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น
บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า
ช่วยเด็กกําพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า
ในชีวิตประจําวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทําความดี หรือทําบุญได้ตลอดเวลา
โดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของถึงแม้เราจะ
ไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ พยาบาลที่ต้องช่วยเหลือคนเป็นประจําอยู่แล้วก็ตาม
จะทําได้อย่างไรนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
กระทรวงวัฒนธรรม ขอเสนอแนะ 9 วิธีทําดี ได้บุญ
แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้
ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้
1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ 
ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทําให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจําวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิดโมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทําบุญอย่างหนึ่ง
 2.ยิ้มแย้มแจ่มใส
ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทําให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทํางาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อพ่อแม่ พ่อแม่ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่อง เดือดร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทําให้ทํางานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูก เรียกไปต่อว่าและถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทําหน้ายักษ์
3.ทักทาย โอปราศรัย
คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทําหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทํางานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือแม่แต่คนที่มาทํางานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทําให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทําให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น
4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี
สามารถทําได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหารล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่งช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทํางาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทําบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทําให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย
5.ปลุกปลอบให้กําลังใจ
ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคําที่ปลุกปลอบให้กําลังใจ คําพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทําให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้
6.ให้คําชมด้วยความนิยมยินดี
การกล่าวคําชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทําให้ผู้รับคําชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทําสําเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคําชมทั้งนั้น เพราะคําชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกําลังใจให้ อยากทําดียิ่งๆ ขึ้นไป
7.แนะนําให้คําสอนที่ดี มีคุณค่า
ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนําในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่นหรือสอนในสิ่งที่เราชํานาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทําด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้องต่อไป เมื่อเขาทํางานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกําลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนําให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนําหมอ ยาดีๆ   หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทําให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเราทําให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต
8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น
โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่ายและมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตําหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัยจะทําให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทําให้จิตใจเราสงบเย็นเป็นการฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนําไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป
9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย
ด้วยการทําสมาธิหรือสวดมนต์ การทําสมาธิ ฟังดูเหมือนยากแต่จริงๆ เราทําได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทําอะไรอยู่ เช่น กินข้าว  อาบน้ํา ทําการบ้าน ทํางานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทํางานหัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่ทําเพียงอย่างเดียว จะทําให้เราทําทุกอย่างได้ดีขึ้นเพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทําหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทําให้ขาดสติและทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควรที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทําความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจําวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไปอีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ’บุญ’ ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชําระกาย ใจให้บริสุทธิ์เป็นการทําประโยชน์ให้แก่ตัวเราเองและผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้
เริ่มทําแต่วันนี้เลยนะคะ เพราะมีคนบอกว่า  ’ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทําเอง

การเลือกเล่นกีฬาที่เหมาะสม : พงศ์ศิริ คำพา

การเลือกเล่นกีฬาเหมาะสมกับวัย



การเล่นกีฬาในปัจจุบัน  ส่วนมากมักจะเล่นกันตามความสะดวกและเล่นตามเพื่อนไม่ได้เกิดจากความรักที่จะเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย  จึงเป็นผลให้การเล่นกีฬาไม่ได้ดีเท่าที่ควร  เนื่องจากลักษณะรูปร่างและสภาพร่างกายไม่เหมาะสมกับกีฬาที่จะเล่น  ไม่มีเวลาฝึกซ้อมไม่มีผู้แนะนำ  เป็นต้น
การจะเลือกเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย  ควรตั้งจุดมุ่งหมายไว้ก่อนเล่นว่าเป็นการเล่นเพื่อสุขภาพหรือเพื่อการแข่งขัน  แล้วจึงพิจารณาถึงปัจจัยในตัวเองว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ควรพิจารณา  ก่อนตัดสินใจเลือกเล่นกีฬา  นายแพทย์เจริญทัศน์  จินตนเสรี   ได้แนะนำว่า  ปัจจัยที่สำคัญที่ต้องพิจารณา  มี  วัย  เพศ  สภาพร่างกายและจิตใจ  และพันธุกรรม
1. วัย  คนแต่ละวัยย่อมีความพร้อมของร่างกาย  ความเจริญเติบโต  ความสามารถในการเคลื่อนไหวแตกต่างกัน  ดังนั้น  คนแต่ละวัยจึงมีความเหมาะสมในการเล่นกีฬาที่แตกต่างกันวัยเด็ก  อาจเลือกเล่นกีฬาได้บางชนิดที่เหมาะสมกับรูปร่าง  เช่น  ว่ายน้ำ  ยิมนาสติก  เป็นต้นวัยหนุ่มสาว  (16-30 ปี)  ระยะนี้ร่างกายเจริญเติบโตและได้รับการพัฒนาเต็มที่แล้ว  สามารถฝึกสมรรถภาพได้เต็มที่  คนวัยนี้จึงสามารถเล่นกีฬาได้หลายชนิดวัย  30  ปีขึ้นไป  โอกาสเล่นกีฬาเพื่อการแข่งขันมีน้อยมาก  นอกจากผู้ที่มีความสามารถสูงก็จะทำการแข่งขันต่อได้  แต่ต้องฝึกซ้อมอย่างมากร่างกายจึงจะสมบูรณ์ถึงระดับแข่งขันกีฬาบางชนิดอาจใช้ความแข็งแรงเพียงบางส่วน  เช่น ยิงปืน  ยิงธนู  เรือใบ  ก็ยังสามารถทำการฝึกซ้อมเพื่อแข่งขันได้
2. เพศ  ชายและหญิงมีความแตกต่างกันทั้งในทางกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาในช่วงวัยเด็ก  อายุ 2-10  ปี  ความสามารถไม่แตกต่างกันมากนัก  แต่พออายุ  10-14  ปี  ความสามารถของชายจะเพิ่มขึ้น  หญิงมีกล้ามเนื้อน้อย  กระดูกเล็กน้อย  กระดูกเล็กกว่าชาย  นอกจากนี้หญิงยังมีประจำเดือนที่ทำให้ร่างกายเสียเลือดทำให้ปวดท้อง  อารมณ์หงุดหงิด  การจะเล่นกีฬาให้เก่งเท่าชายคงเป็นไปได้ยาก
การเล่นกีฬาของหญิงส่วนมากจะเล่นเพื่อสุขภาพมากกว่าเล่นเพื่อการแข่งขัน เพราะหญิงเป็นเพศที่รักสวยรักงาม  จะเล่นกีฬาเพื่อรักษาทรวดทรงให้สวยสง่าอยู่เสมอ  ดังนั้นการเล่นกีฬาจึงเป็นกีฬาที่บริหารร่างกายได้ทุกส่วน  ไม่เน้นส่วนใดส่วนหนึ่ง  ควรใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน  เช่น  ว่ายน้ำ  ยิมนาสติก  เต้นรำแอโรบิก แบดมินตัน  เป็นต้น  ส่วนกีฬาที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่กีฬาที่มีการปะทะกัน
3. สภาพร่างกายและจิตใจ  การเล่นกีฬาแต่ละชนิด  ต้องการผู้เล่นที่มีรูปร่างลักษณะและสภาพจิตใจที่แตกต่างกัน  กีฬาบางชนิดต้องการผู้เล่นที่มีรูปร่างสูงใหญ่อันเป็นข้อได้เปรียบ  เช่น  บาสเกตบอล  วอลเลย์บอล  นอกจากนี้กีฬาที่มีการเล่นที่ปะทะกันต้องอาศัยรูปร่างที่สูงใหญ่จึงจะได้เปรียบ  เช่น ฟุตบอล  นอกจากนี้กีฬาที่มีการเล่นที่ปะทะกันต้องอาศัยรูปร่างที่สูงใหญ่จึงจะได้เปรียบ  เช่น ฟุตบอล  รักบี้ฟุตบอล  อเมริกันฟุตบอล  ส่วนผู้ที่มีรูปร่างสันทัดอาจจะเล่นกีฬาได้ดีในบางชนิดกีฬา เช่น  ยิมนาสติก  กระโดดน้ำ  เซปัคตะกร้อ  เป็นต้น  ส่วนกีฬาที่ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน  จะเป็นกีฬาที่แบ่งรุ่นด้วยน้ำหนัก  เช่น  มวย  ยูโด  ยกน้ำหนัก  เป็นต้น  ดังนี้การเลือกเล่นกีฬาเพื่อแข่งขันจะต้องพิจารณารูปร่างเป็นสำคัญ
สภาพจิตใจก็เป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งในการเลือกเล่นกีฬา  ถ้ากีฬาที่เล่นนั้นเล่นด้วยใจรัก  ชอบ  ผู้นั้นจะเล่นด้วยความตั้งใจ  สนใจ  ขยันฝึกซ้อม  และหาประสบการณ์อยู่เสมอจนมีนิสัยรักเล่นกีฬา  ผลที่ตามมาก็คือ  สุขภาพร่างกายมีความแข็งแรง  สภาพจิตใจก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี  อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน  สามารถร่วมเล่นกีฬากับสังคมได้ดี
4. พันธุกรรม ในเรื่องของพันธุกรรมนอกจากจะเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางด้านรูปร่าง  ลักษณะแล้ว สมรรถภาพทางกาย  จิตใจ  ก็ยังถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้  ดังนั้น  ถ้าใครที่มีบิดาหรือมารดาที่เคยเล่นกีฬาชนิดใดได้ดี  ก็ควรเลือกเล่นกีฬาชนิดเดียวกันนั้น
การเลือกเล่นกีฬานอกจากปัจจัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  ผู้เล่นควรจะพิจารณาถึงสิ่งต่อไปนี้อีกด้วย  ได้แก่
1. เวลา เวลานับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ล่นจะต้องรู้จักบริหารเวลา การเลือกเล่นกีฬาชนิดใดต้องดูว่ามีเวลาว่างพอหรือไม่
2. ฐานะทางการเงิน  กีฬาแต่ละชนิดจะมีอุปกรณ์การฝึกซ้อมมากน้อย  และราคาที่แตกต่างกัน  เช่น  กอล์ฟ  เทนนิส  แบดมินตัน  เป็นกีฬาที่ต้องลงทุนมากพอสมควร ผู้ที่จะเล่นควรมีฐานะทางการเงินดี  การเลือกเล่นกีฬาที่ไม่กระทบการเทือนกับฐานะทางการเงิน  จะทำให้เกิดความสบายใจสามารถเล่นได้อย่างต่อเนื่อง
3. การสนับสนุนและส่งเสริม  กีฬาชนิดใดที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมที่ดี  กีฬาชนิดนั้นก็จะแพร่หลายเป็นที่นิยมของคนทั่วไป  ทำให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาเทคนิควิธีเล่นของตนเองได้สูงขึ้น  โอกาสที่จะได้แสดงความสามารถในด้านการแข่งขันก็มีมากขึ้นด้วย
ที่มา